ถ้าเหล่ากู๊ดดี้เป็นคนหนึ่งที่อยากทำประกันภัยที่อยู่อาศัย หรือประกันภัยบ้าน แต่ยังติดที่ไม่รู้ว่าควรจะทำที่ทุนประกันภัยเท่าไหร่ดี? เลือกทุนประกันสูง ๆ ไปเลยดีมั้ย? เตรียมพับเก็บข้อสงสัย เพราะวันนี้ heygoody จะพาไปมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับทุนประกันภัยที่อยู่อาศัย พร้อมวิธีคำนวณทุนประกันภัยให้เหมาะสม และได้รับความคุ้มครองที่คุ้มค่าที่สุด
ทุนประกันคือ จำนวนเงินที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้กับผู้เอาประกันภัยหรือคนที่ทำประกัน เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับบ้านและทรัพย์สินตามเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ได้ทำไว้ อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ เวลาเกิดความเสียหายขึ้น จะได้รับค่าสินไหมเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับทุนประกันภัยที่เราเลือกไว้ตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ทุนประกันภัยยังเกี่ยวข้องกับเบี้ยประกันโดยตรง ถ้าทุนประกันภัยสูง เบี้ยประกันก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าทุนประกันภัยต่ำ ก็จะมีค่าเบี้ยที่ย่อมเยากว่า แบบนี้ควรเลือกทุนประกันภัยต่ำ ๆ จะได้จ่ายเบี้ยประกันถูก ๆ ไปเลยดีกว่ามั้ย? คำตอบคือ ไม่ เพราะถ้าทุนประกันภัยน้อยเกินไป แม้ว่าจะทำให้เบี้ยถูก แต่อาจคุ้มครองไม่เพียงพอกับค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงก็ได้ ดังนั้นเหล่ากู๊ดดี้ต้องพิจารณาก่อนซื้อประกันว่า มีวงเงินครอบคลุมและเหมาะสมมั้ย เพื่อไม่ให้มีปัญหาเวลาเคลมประกันอัคคีภัยนั่นเอง
การกำหนดทุนประกันภัยที่อยู่อาศัยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
เป็นการกำหนดทุนประกันภัย “ต่ำ” กว่ามูลค่าจริงของราคาสิ่งปลูกสร้างและราคาเฟอร์นิเจอร์ เมื่อเกิดเหตุเคลม จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนตามสัดส่วนที่ทำประกันไว้เท่านั้น
ยกตัวอย่าง มูลค่าบ้านและเฟอร์นิเจอร์ มีมูลค่าที่แท้จริง 2,000,000 บาท แต่ทำประกันโดยกำหนดทุนประกันไว้ที่ 1,200,000 บาท (60%) เมื่อเกิดเหตุเคลม จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน 60% ของมูลค่าความเสียหายทุกกรณี เช่น
เป็นการกำหนดทุนประกันภัย “สูง” กว่ามูลค่าจริงของราคาสิ่งปลูกสร้างและราคาเฟอร์นิเจอร์ เมื่อเกิดเหตุเคลม จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนไม่เกินมูลค่าที่แท้จริง
ยกตัวอย่าง มูลค่าบ้านและเฟอร์นิเจอร์ มีมูลค่าที่แท้จริง 2,000,000 บาท แต่ทำประกันโดยกำหนดทุนประกันไว้ที่ 3,000,000 บาท เมื่อเกิดเหตุเคลม จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง ไม่เกินไปกว่านี้ เช่น
จะเห็นได้ว่า ควรกำหนดทุนประกันภัยให้เหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริง เพราะถ้ากำหนดต่ำไป ค่าสินไหมที่ได้จะไม่ครอบคลุมความเสียหายทั้งหมด แต่ถ้ากำหนดสูงไป นอกจากไม่ได้ความคุ้มครองใด ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้ ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยเพิ่มมากขึ้นเกินความจำเป็นอีกด้วย
เหล่ากู๊ดดี้สามารถคำนวณทุนประกันภัยให้เหมาะสมได้เองง่าย ๆ ตามขั้นตอนด้านล่างนี้เลย
1.คำนวณหา “พื้นที่ใช้สอย” จาก กว้าง*ยาว*จำนวนชั้น*จำนวนหลัง
2.คำนวณหา “มูลค่าที่อยู่อาศัยที่แท้จริง” จาก พื้นที่ใช้สอย*ราคาต่อตารางเมตร ถ้าไม่รู้ราคาต่อตารางเมตร สามารถใช้ตารางนี้เพื่อคำนวณได้
ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง | ราคาประเมินมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง (ไม่รวมฐานราก)(บาท/ตารางเมตร) | ||
สิ่งปลูกสร้าง | ราคาขั้นต่ำ | ราคาขั้นสูง | |
บ้าน/ ทาวเฮ้าส์ | บ้านเดี่ยว/ บ้านแฝด/ ทาวเฮ้าส์ | 12,000 | 19,000 |
คอนโด/ อพาร์ทเม้นท์ น้อยกว่า 10 ชั้น | ห้องชุดในอาคารชุดพักอาศัย น้อยกว่า 10 ชั้น | 11,000 | 18,000 |
คอนโด/ อพาร์ทเม้นท์ มากกว่า 10 ชั้น | ห้องชุดในอาคารชุดพักอาศัย มากกว่า 10 ชั้น | 19,000 | 26,000 |
ตึกแถว/ อาคารพาณิชย์ | ตึกแถว/ อาคารพาณิชย์ | 10,000 | 15,000 |
3.กำหนด “มูลค่าทรัพย์สิน” ภายในสิ่งปลูกสร้าง
4.ทุนประกันภัย จะเท่ากับ “มูลค่าที่อยู่อาศัยที่แท้จริง” + “มูลค่าทรัพย์สิน”
รู้วิธีคำนวณทุนประกันภัยคร่าว ๆ แล้ว สเต็ปต่อไปคือ มองหาประกันภัยที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับเรา แล้วจะเลือกยังไงดี? heygoody มีเคล็ดลับมาบอก
อันดับแรกต้องพิจารณาเงื่อนไขความคุ้มครองว่า คุ้มครองอะไรบ้าง? ตรงกับความต้องการมั้ย? โดยทั่วไปประกันภัยที่อยู่อาศัยมักจะคุ้มครองภัยหลัก ๆ ได้แก่ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลมพายุ แผ่นดินไหว ลูกเห็บ น้ำท่วม ภัยจากอากาศยานหรือวัตถุที่ตกจากอากาศยาน ไปจนถึงอุบัติเหตุต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากไฟฟ้าลัดวงจร
แต่ถ้าบ้านเรามีความเสี่ยงอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากความคุ้มครองพื้นฐาน ก็สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น heygoody เชื่อว่าเหล่ากู๊ดดี้จะเข้าใจบ้านของตัวเองดีกว่าใคร ดังนั้นเลือกช้อยส์ความคุ้มครองที่เหมาะกับบ้านเรามากที่สุด จะได้ไม่ต้องเสียค่าเบี้ยประกันเพิ่มโดยไม่จำเป็นนะ
ระยะเวลาคุ้มครองยาว เบี้ยประกันยิ่งถูกลงนะรู้ยัง? มือใหม่อาจยังไม่รู้ว่า ประกันระยะเวลาคุ้มครอง 2 ปี จะคิดค่าเบี้ยประกัน 175% ของเบี้ยประกันปีแรก ในขณะที่ระยะเวลาคุ้มครอง 3 ปี จะคิดค่าเบี้ยประกัน 250% ของเบี้ยประกันปีแรก
สมมุติทำประกันระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี อัตราเบี้ยประกัน 100% ถ้าทำแบบต่ออายุปีต่อปี ผ่านไป 3 ปี จะจ่ายค่าเบี้ยประกัน 300% แต่ถ้าทำ 2 ปี จะจ่ายค่าเบี้ยประกันแค่ 175% และถ้าทำ 3 ปี จะจ่ายค่าเบี้ยประกันแค่ 250% จาก 300% เท่ากับว่า ประหยัดเบี้ยประกันต่อปีได้เกือบ 17% เลยทีเดียว ดังนั้นใครอยากได้ค่าเบี้ยประกันถูกลง แนะนำว่าควรทำประกันระยะยาว 2 ปี หรือ 3 ปี
ทุนประกันอัคคีภัยที่เหมาะสมไม่ควรต่ำกว่า 70% ของมูลค่าทรัพย์สินที่แท้จริง เพื่อให้ครอบคลุมค่าเสียหายส่วนใหญ่ได้ เช่น มูลค่าที่แท้จริง 2,000,000 บาท ควรทำทุนประกันที่ 70-100% ของมูลค่าที่แท้จริง หรือเท่ากับ 1,400,000-2,000,000 บาท ถ้าเกิดอุบัติภัยที่มีความเสียหายทั้งหมด บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
ถ้าทำประกันกับ heygoody โดยกำหนดทุนไม่ต่ำกว่า 70% ของมูลค่าที่แท้จริง บริษัทจะชดใช้ให้ตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง (แต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย) ยกตัวอย่าง
มูลค่าบ้านและเฟอร์นิเจอร์ มีมูลค่าที่แท้จริง 2,000,000 บาท แต่ทำประกันโดยกำหนดทุนประกันไว้ที่ 1,400,000 บาท (70%) เมื่อเกิดเหตุเคลม จะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนตามกรณีต่าง ๆ ดังนี้
โบรกเกอร์ หรือบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่า จะได้รับการบริการที่ดี พร้อมช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน นอกจากนี้การเคลมง่ายและรวดเร็ว ก็เป็นอีกเหตุผลที่เหล่ากู๊ดดี้ไม่ควรมองข้าม ถ้าโบรกเกอร์ หรือบริษัทประกันเจ้าไหนมีครบตามเช็คลิสต์ ก็เตรียมฝากฝังบ้านแสนรักที่เป็นทรัพย์สินมีค่าไว้ในมือได้เลย
หวังว่าข้อมูลข้างต้น จะเป็นแนวทางให้เหล่ากู๊ดดี้สามารถกำหนดทุนประกันภัยที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมได้ สิ่งสำคัญคือ ทำแบบพอดี พิจารณาเบี้ยประกันควบคู่กับทุนประกัน ไม่กำหนดทุนประกันสูง แล้วต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันปีละมาก ๆ จนสุดท้ายส่งไม่ไหว หรือกำหนดทุนประกันภัยต่ำ แล้วได้ค่าสินไหมไม่เพียงพอ สุดท้ายนี้ ถ้าเหล่ากู๊ดดี้ยังไม่มีตัวเลือกประกันที่ใช่ ให้ heygoody เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด! เรารวบรวมประกันภัยที่อยู่อาศัยจากบริษัทประกันชั้นนำเอาไว้ให้แล้ว แวะมาเลือกซื้อที่เว็บไซต์ heygoody ได้ตลอด 24 ชม.
ที่มา : DDproperty และ SET
การันตีความสำเร็จ จากเวทีระดับโลก
ดูรางวัลทั้งหมด