เปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้น 1,2,3 ต่างกันยังไง ซื้อแบบไหนดี?

1411 คน
แชร์
เปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้น 1,2,3

พูดถึงเรื่องประกันเมื่อไหร่ หลายๆ คนอาจรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เพราะดูมีรายละเอียดเยอะ ตัวเลือกเยอะ แถมยังมีข้อยกเว้นอีกเพียบ แต่ถ้าเป็นเรื่องประกันรถยนต์ บอกเลยว่า heygoody เชี่ยวชาญเป็นที่สุด วันนี้เราจะพาทุกคนไปเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละประเภทว่าแตกต่างกันยังไง สรุปมาให้แบบง่ายๆ จะได้เลือกซื้อให้เหมาะกับตัวเอง

ยาวไปเลือกอ่านได้นะ ซ่อน

ประกันรถยนต์ชั้น 1

สำหรับคนที่เพิ่งออกรถคันใหม่ อาจมองหาประกันชั้น 1  เพราะเป็นประกันที่มีความคุ้มครองสูงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประกันภัยรถยนต์ประเภทอื่นๆ แล้ว ประกันรถยนต์ชั้น 1 ก็มาพร้อมกับเบี้ยประกันที่สูงกว่าด้วย heygoody ลิสต์ให้ดูว่าประกันประเภทนี้ดีกว่าประเภทอื่นยังไง

ประกันรถยนต์ชั้น 1

ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง?

สำหรับประกันชั้น 1 ของแต่ละบริษัทอาจมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งให้ความคุ้มครองกับรถยนต์ส่วนบุคคลที่ไม่เกิน 7 ที่นั่ง และส่วนมากรถที่อายุไม่เกิน 7 ปี สามารถซื้อประกันประเภทนี้ได้ ทั้งรถใหม่และรถมือสอง ในส่วนของเงื่อนไขอาจมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละข้อกำหนดของแต่ละบริษัท แต่ส่วนมากนั้นมีความคุ้มครองที่เหมือนกันดังต่อไปนี้

  • คุ้มครองรถยนต์ ผู้เอาประกันและคู่กรณี รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งและทรัพย์สินอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
  • คุ้มครองรถยนต์ ผู้เอาประกันและทรัพย์สิน ในอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี เช่น ขับรถชนเสาไฟหรือชนกำแพง
  • มีการคุ้มครองกรณีรถยนต์สูญหายและไฟไหม้ รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ ด้วย โดยต้องดูที่ทุนประกันที่ทำเอาไว้
  • คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว วาตภัย ไฟป่า หรือฟ้าผ่า
  • มีการประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา เช่น ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์
  • มีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลให้กับผู้ขับขี่ คุ้มครองเมื่อสูญเสียอวัยวะ พิการ หรือเสียชีวิต

ประกันรถยนต์ชั้น 1 ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง?

เห็นได้ว่าประกันรถยนต์ประเภทนี้มีความคุ้มครองที่ครอบคลุม แต่ก็มีข้อยกเว้นที่บริษัทประกันส่วนใหญ่ไม่เสนอความคุ้มครองให้ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากสาเหตุบางอย่าง เช่น

  • กรณีเกิดอุบัติเหตุเพราะเมาแล้วขับ ทางบริษัทประกันไม่ทำเรื่องเคลมประกันให้ทุกกรณี เนื่องจากเกิดจากความประมาท โดยผู้ที่เมาแล้วขับต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
  • กรณีที่ใช้รถยนต์เพื่อบรรทุกหรือขนส่งสิ่งผิดกฎหมาย ทางประกันไม่รับเคลมทุกกรณี
  • ไม่มีใบอนุญาตขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุ ทางบริษัทประกันก็ไม่รับเคลมเช่นกัน เพราะถือว่าผิดกฎหมายตั้งแต่แรก
  • ถ้ามีการปรับแต่งตัวรถ เครื่องยนต์หรืออื่นๆ ส่วนมากแล้วเข้าข่ายไม่ได้รับความคุ้มครอง ทางที่ดีควรแจ้งกับทางบริษัทประกันก่อนว่าต้องการแต่งรถส่วนไหนบ้าง เพื่อเจรจาความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากขึ้น แต่ก็มักมาพร้อมกับค่าเบี้ยที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของค่าเสียหายส่วนแรกที่มักถูกกำหนดอยู่ในสัญญาประกัน ส่วนมากไม่เกิน 5,000 บาท เวลาเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วความเสียหายไม่เกินค่าเสียหายส่วนแรก บริษัทประกันจะไม่ช่วยออกค่าเสียหาย แต่ผู้เอาประกันต้องเป็นคนออกเองทั้งหมด

สรุปแล้ว ประกันชั้น 1 เหมาะกับใครบ้าง?

heygoody ขอสรุปให้ชัดๆ กันตรงนี้เลยว่า ประกันรถยนต์ชั้น 1 เหมาะกับคนที่ใช้รถบ่อย ใช้ขับทางไกล รวมไปถึงมือใหม่หัดขับ เพราะมีความคุ้มครองที่ครบถ้วน ไม่ต้องกังวลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับเบี้ยประกันที่สูงกว่าประเภทอื่นๆ แต่เรียกว่าเหมือนได้ซื้อความอุ่นใจให้กับตัวเองไปเต็มๆ ถ้าหากอยากได้ประกันรถชั้น 1 ที่ราคาดีๆ ผ่อนชำระได้ ลองเข้ามามองหาและเช็คเบี้ยประกันรถยนต์กับ heygoody ได้นะ รับรองว่าได้ประกันที่ถูกใจแน่นอน

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

ถ้าหากรถยนต์มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป ไม่สามารถทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ได้ แต่ยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมอยู่ ประกันรถยนต์ชั้น 2+ นับเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เพราะให้ความคุ้มครองทั้งในกรณีที่รถหาย ไฟไหม้ และเกิดอุบัติเหตุ โดยจะซ่อมรถให้ทั้งรถของผู้ถือประกันและรถของคู่กรณี เหมือนกับการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 เลย

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

ประกันชั้น 2+ คุ้มครองอะไรบ้าง?

สิ่งที่ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครอง มีดังนี้

  • คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณี
  • กรณีที่รถยนต์ไฟไหม้จากเครื่องยนต์ระเบิด
  • กรณีที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว วาตภัย ไฟป่า หรือฟ้าผ่า
  • ให้ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ทั้งชีวิต ร่างกาย อนามัย และทรัพย์สิน
  • ให้ความรับผิดชอบผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ในกรณีที่เสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า และสายตา
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
  • ค่าประกันตัวผู้ขับขี่

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง?

แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่มีข้อยกเว้นเช่นกัน โดยประกันรถยนต์ชั้น 2+ ไม่คุ้มครองตัวรถของผู้เอาประกันในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี เช่น

  • โดนชนแล้วหนี จับคู่กรณีไม่ได้
  • ขับรถชนเสาไฟฟ้า แบริเออร์ ฟุตบาท หรือรั้ว
  • ขับรถตกข้างทางเพราะถนนลื่น

สรุปแล้ว ประกันชั้น 2+ เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากรถยนต์มีอายุเกิน 5 ปีขึ้นไป โดยให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม ทั้งอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติ ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันตัว และทุพพลภาพ ยังไงก็ตาม การคุ้มครองตัวรถของผู้เอาประกัน คุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุที่มีคู่กรณีเท่านั้น

ประกันรถยนต์ชั้น 2

สำหรับใครที่มองหาประกันภัยรถยนต์ที่ราคาถูกลงมาหน่อย แต่ยังมีความคุ้มครองที่ค่อนข้างครบถ้วน ประกันชั้น 2 นับเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน เพราะสามารถทำได้ทั้งรถใหม่ และรถที่อายุเกิน 5 ปีขึ้นไป มีค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่าชั้น 1 และมีความคุ้มครองที่ใกล้เคียงกัน

ประกันรถยนต์ชั้น 2

ประกันชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง?

เมื่อเปรียบเทียบประกันชั้น 2 กับชั้น 1 แล้ว เห็นได้เลยว่าใกล้เคียงกันมาก โดยมีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยตามข้อสรุปข้างล่างนี้เลย

  • ให้ความคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหาย ในกรณีที่รถหาย หรือเกิดไฟไหม้เท่านั้น
  • คุ้มครองบุคคลภายนอก ทรัพย์สิน และผู้ขับที่เป็นคู่กรณี
  • มีทุนสำหรับการประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา
  • มีประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งอาจแตกต่างออกไปตามแต่ละประเภทกรมธรรม์และบริษัท

ประกันรถยนต์ชั้น 2 ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง?

อย่างที่บอกไปว่ามีบางอย่างที่ประกันชั้น 2 นั้นไม่ครอบคลุม ซึ่งหลักๆ เป็นเรื่องของค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี หลักๆ นั้นมีสิ่งที่ไม่คุ้มครองตามนี้

  • กรณีขับรถขนสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นๆ เช่น เสาไฟฟ้า รั้วบ้าน กำแพง หรือทางเดินเท้า
  • กรณีที่รถลื่นลงข้างทางหรือไหล่ทาง
  • กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วคู่กรณีหนีไป หาตัวไม่เจอ
  • กรณีที่รถยนต์ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว วาตภัย ไฟป่า หรือฟ้าผ่า

นอกจากข้อยกเว้นเหล่านี้แล้ว ยังมีข้อยกเว้นที่เหมือนกับประกันชั้น 1 ด้วย ในกรณีที่ใช้รถยนต์ผิดกฎหมาย เมาแล้วขับ ไม่พกใบอนุญาตขับขี่และอื่นๆ ที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งหมดด้วยเช่นกัน

สรุปแล้ว ประกันชั้น 2 เหมาะกับใครบ้าง?

หากดูจากค่าเบี้ยประกันที่ถูกกว่าชั้น 1 รวมถึงความคุ้มครองที่ได้แล้ว ต้องบอกว่าประกันรถยนต์ชั้น 2 นั้นเหมาะกับคนที่ขับรถในระยะทางที่ไม่ไกลมาก เช่น ขับในเมือง ขับไปทำงาน แต่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุบ่อย หากคุณใช้รถทุกวัน ขับในบริเวณถนนที่มีรถเยอะ แต่อยากจ่ายค่าเบี้ยประกันที่ถูกลง ก็สามารถเลือกทำประกันประเภทนี้ได้

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

หากคุณมีรถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป หรือมีรถยนต์ แต่ไม่ค่อยได้ใช้งาน การทำประกันรถยนต์ชั้น 3+ นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะมีค่าเบี้ยประกันที่ไม่แพงให้ความคุ้มครองความเสียหายของรถในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ทั้งรถของเรา และรถของคู่กรณี ทั้งยังให้ค่ารักษาพยาบาลกับผู้เอาประกันและผู้โดยสารเหมือนกับประกันชั้น 2+ เลย

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

ประกันชั้น 3+ คุ้มครองอะไรบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 2+ เลย ดังนี้

  • ความเสียหายของรถผู้เอาประกันจากการขับรถชน
  • ความเสียหายรถคู่กรณี รวมถึงทรัพย์สิน และค่ารักษาพยาบาล
  • ค่ารักษาพยาบาลของผู้เอาประกัน และผู้โดยสาร โดยจะให้ความคุ้มครองเหมือนกับประกันรถยนต์ชั้น 2+ 
  • ความรับผิดชอบผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ในกรณีที่เสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สายตา อย่างถาวร และการทุพพลภาพ
  • ค่าประกันตัวผู้เอาประกัน รวมถึงผู้ขับขี่ที่ได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกัน

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง?

แม้ว่าประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 2+ แต่มีส่วนที่ไม่ให้ความคุ้มครองเช่นกัน โดยไม่คุ้มครองความเสียหายรถในกรณีที่เกิดเหตุไฟไหม้ น้ำท่วม หรือรถสูญหาย

สรุปแล้ว ประกันชั้น 3+ เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันรถยนต์ชั้น 3+ เหมาะสำหรับคนที่มีรถยนต์อายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป หรือไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์ ให้ความคุ้มครองกรณีที่ขับรถชนเท่านั้น โดยจะให้ความคุ้มครองทั้งความเสียหายรถ ค่ารักษาพยาบาล ทั้งฝั่งของผู้เอาประกันและคู่กรณีเลย ช่วยให้สามารถขับขี่รถบนท้องถนนได้อุ่นใจมากยิ่งขึ้น!

ประกันรถยนต์ชั้น 3

ประกันรถยนต์ชั้น 3 ถือว่าเป็นประกันที่ราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความคุ้มครองที่น้อยลงมา อีกทั้งยังเหมาะกับรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปี ซึ่งกรมธรรม์มักจะให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุม แต่อาจมีข้อยกเว้นเพิ่มขึ้น heygoody สรุปรวบมาให้ได้อ่านกันตามนี้

ประกันรถยนต์ชั้น 3

ประกันชั้น 3 คุ้มครองอะไรบ้าง?

สำหรับใครที่มีรถคู่ใจ ใช้งานมานาน ประกันชั้น 3 เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากๆ ความคุ้มครองอาจจะไม่ครอบคลุมเท่าประเภทอื่นๆ แต่มีข้อดีตรงที่เบี้ยประกันน้อยกว่า จ่ายง่าย สบายกระเป๋า หากต้องการความคุ้มครองอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถซื้อแผนประกันเสริมได้

  • คุ้มครองในกรณีมีทรัพย์สินเสียหาย แต่คุ้มครองแค่ในส่วนของบุคคลภายนอกและผู้โดยสารในรถ
  • คุ้มครองชีวิตของบุคคลภายนอกและผู้โดยสารในรถยนต์
  • มีประกันอุบัติเหตุให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร คุ้มครองในกรณีที่ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือเสียชีวิต
  • มีทุนสำหรับประกันตัวผู้ขับขี่ในคดีอาญา

ประกันรถยนต์ชั้น 3 ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง?

หลายๆ คนอาจคิดว่าพอเป็นประกันรถยนต์ชั้น 3 แล้ว น่าจะไม่คุ้มครองมากมายเต็มไปหมด แต่จริงๆ แล้วประกันประเภทนี้ยกเว้นความคุ้มครองไม่เยอะอย่างที่คิด นอกจากการยกเว้นความคุ้มครองในส่วนที่ผู้ขับขี่ทำผิดกฎหมายและใช้รถในทางที่ผิดกฎหมายแล้ว จะมีเรื่องของทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย ไม่ว่ามีหรือไม่มีคู่กรณี ไม่ว่าเป็นในอุบัติเหตุ ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ

สรุปแล้ว ประกันชั้น 3 เหมาะกับใครบ้าง?

ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 เหมาะกับคนที่ใช้รถบ่อยๆ ทุกวัน ใช้ขับระยะทางที่ไม่ไกลมาก มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้บ่อย เป็นประกันที่เหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมให้กับคู่กรณีหรือความเสียหายต่อทรัพย์สินภายนอก เพราะประกันประเภทนี้จะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเหมาะกับคนที่มีรถยนต์ที่อายุเกิน 15 ปี และไม่อยากจ่ายเบี้ยประกันเยอะ

สรุปประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+, 2, 3+ และ 3 ต่างกันยังไง?

ประกันรถยนต์ชั้น 1, 2+,2,3+,3 ต่างกันยังไง

ถ้าให้ heygoody สรุปง่ายๆ เมื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ทั้ง 5 ประเภทแล้ว จะพบว่ามีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไปทั้งในส่วนของความคุ้มครองต่อทรัพย์สินและผู้ขับขี่ซึ่งเป็นผู้เอาประกัน และความคุ้มครองที่มีต่อทรัพย์สินและคู่กรณี

  • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เหมาะสำหรับรถยนต์คันใหม่ หรือมีอายุไม่เกิน 5 ปี โดยให้ความคุ้มครองสูง ครอบคลุมทั้งผู้เอาประกัน คู่กรณีและทรัพย์สิน ถึงแม้มีราคาที่สูงกว่าประกันแบบอื่นๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าและเหมาะกับคนที่ใช้รถเยอะ และเหมาะกับมือใหม่หัดขับด้วย
  • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันรถยนต์ชั้น 1 มากที่สุด แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะรถมีอายุมากกว่า 5 ปี โดยแตกต่างตรงที่ไม่ให้ความคุ้มครองการชนแบบไม่มีคู่กรณีเท่านั้น
  • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2 เป็นประกันรถยนต์ที่มีราคาถูกลงมาหน่อย ได้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่จะไม่มีการคุ้มครองในกรณีที่เกิดความเสียหายโดยไม่มีคู่กรณี และความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
  • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยใช้งานรถยนต์ หรือมีรถยนต์อายุเกิน 10 ปีขึ้นไป โดยเน้นความคุ้มครองไปที่การขับรถชนแบบมีคู่กรณี ซึ่งให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งความเสียหายรถ และทรัพย์สิน ทั้งฝั่งของผู้เอาประกันและคู่กรณีเลย
  • ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 มีข้อดีที่นำเด่นมาเลยคือ ราคาที่ไม่แพง แต่ไม่มีความคุ้มครองที่เกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เอาประกันและทรัพย์สิน

รู้กันแบบนี้แล้วหวังว่าเหล่ากู๊ดดี้หลายๆ คนที่กำลังมองหาประกันภัยรถยนต์เล่มแรกหรือกำลังจะต่อประกัน สามารถเลือกประกันภัยรถยนต์ที่เหมาะสมกับตัวเองและการใช้รถได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าอยากเห็นความชัดเจนของประกันแต่ละบริษัท ก็สามารถเข้ามาเลือกซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ กับ heygoody ได้เลย เพราะสามารถเปรียบเทียบราคาประกันได้แบบเรียลไทม์ เช็คเบี้ยประกันรถยนต์ได้ง่ายๆ ซื้อแบบไม่ต้องผ่านคนกลาง ได้ราคาพิเศษ แถมยังผ่อนชำระได้ 0% สูงสุด 10 เดือนด้วยนะ แบบนี้ไม่ลองไม่ได้แล้ว!

แชร์
ไปเลือกประกันรถยนต์กัน!
แค่กรอกข้อมูลง่าย ๆ แล้วให้ heygoody เสนอแผนที่เหมาะกับคุณ
เช็คราคาเบี้ย
ไปเลือกประกันรถยนต์กัน!
แค่กรอกข้อมูลง่าย ๆ แล้วให้ heygoody เสนอแผนที่เหมาะกับคุณ
เช็คราคาเบี้ย
แชร์
แชร์

การันตีด้วยรางวัลความสำเร็จ

Insure Tech Connect Asia
  • Brokerage Breakthrough Awards 2024
  • Data Analytics Master Awards
NEWYORK FESTIVALS
  • รางวัล Bronze หมวดหมู่ Insurance แคมเปญ #heyIntroverts
  • Finalist หมวดหมู่ Film-Non-Broadcast
chevron-down